อาจารย์แอน แฟนคลับ

อาจารย์แอน แฟนคลับ
พวกเรา คือ ครอบครัว อาจารย์แอน แฟนคลับ

24/11/54

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๙




ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ตอนที่ ๙
วัดมหาวันเป็นวัดสุดท้ายของการไหว้พระเก้าวัด ซึ่งเราต้องรู้ประวัติของยอดกษัตริย์องค์หนึ่งที่สร้างวัดมหาวันนี้ คือ “พระนางจามเทวี” ตามตำนานต่างๆมีชินกาลมาลีปกรณ์ พงศาวดารโยนกแลจามเทวีวงค์ กล่าวกันว่าชาติกำเนิดคั้งเดิมมาจากภาคเหนือ บุตรีของคหบดีนามว่า อินตา มีการบันทึกดวงชาตาว่าเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๕ ปีมะโรงพ.ศ.๑๑๗๖ เมื่อายุได้ ๓ เดือน พญานกใหญ่โฉบเอาตัวไปผ่าน สุเทวฤษี แห่งระมิงค์นคร กำลังบำเพ็ญตบะ ณ อุจฉุตบรรพต เห็นดังนั้นจึงแผ่เมตตาให้พญานกปล่อยพระนาง ขณะนั้นมีลมหอบใหญ่พาพระนางไปตกในสระใหญ่ บนดอกบัวหลวง ท่านฤษีใช้พัดช้อนทารก จึงได้ชื่อว่า “ วี “ แล้วให้พญาวานรชื่อ กากะวานร และบริวาร ๓๕ ตัวช่วยเลี้ยงดู เมื่ออายุได้๑๓ พรรษา สำเร็จวิชาการทั้งหมด พระฤษีสุเทว ก็เนรมิตแพส่งกุมารีน้อย ล่องจากเมืองเหนือส่งถึงเมือละโว้พร้อมวานรตามไปส่ง ๓๕ ตัว พระเจ้ากรุงละโว้ ไม่มีโอรส ธิดา จึงสถาปนา กุมารี วี เป็นเจ้าหญิงจามเทวี ศรีสุริยวงค์บรมขัตติยนารีรีตนกัญญาลวะบุรีราเมศวร เมื่อพระชนมมายุ ๒๐ พรรษาได้อุปภิเษกกับเจ้าชายรามราชแห่งนครรามบุรี ความสามารถของพระนาง สามารถนำทัพออกรบได้ด้วยพระองค์เอง ทรงเชี่ยวชาญการศึกด้วยเป็นศิษย์ของท่านสุเทวฤษี
เมื่อสุเทวฤษีได้สร้างนครหริภุญชัย ร่วมกับ สุกทันตฤษี ได้ให้พระนางจามเทวีมาครองเมือง นี้คือปฐมเหตุที่พระนางจามเทวีต้องเสด็จทางเรือ ผ่านสถานที่ต่างๆมาจนถึง นครหริภุญไชย นอกจากนี้พระนางยังนำ มหาเถระ ที่ทรงปิฎกมา๕๐๐รูปรวมทั้งบัณฑิตหมู่ช่าง สลัก ช่างเงิน ทอง เหล็ก ช่างวาด ช่างเขียน ช่างโยธา ตามเสด็จอีกมากมาย
ข้อสำคัญพระนางได้นำสิ่งสำคัญมาด้วยคือ พระแก้วขาว ซึ่งว่ากันว่าเป็นองค์เดียวกับที่ประดิษฐานที่วัดเชียงมั่น จ.เชียงใหม่ กับ “ พระรอดหลวง “ ซึ่งปัจจุบันประดิษฐานที่วัด มหาวัน ที่เรามาสักการะเป็นวัดสุดท้าย
ในปั้นปลายชีวิตของพระองค์ภายหลังได้มอบราชสมบัติให้พระราชโอรสแล้วสละเพศเป็น ชี ปฎิบัติศาสนา ณ สำนักอารามจามเทวี และเสด็จสวรรคต เมื่อวันแรม ๓ ค่ำ เดือน๖ ปีวอก พ.ศ. ๑๔๗๖ เมื่อพระชนม์มายุ ๙๒ พรรษา
เรามาถึงวัดมหาวัน ได้นมัสการ พระพุทธสิกขิ หรือพระศิลาดำ ที่เรียกว่า พระรอดหลวงหรือ พระรอดลำพูน เราจะได้รับพรอันประเสริฐจาก กษัตริย์ ให้แคล้วคลาดปลอดภัย ทุกอุปสรรค และอันตรายที่ต้องฝ่าฟัน ตั้งใจถวายสังฆทาน รับพรพระ น้อมระลึกถึงคุณของพรนางจามเทวี และเราได้บูชา พระรอด ของวัดมหาวันนี้กลับไปเป็นศิริมงคลที่จะน้อมระลึกถึงการเดินทางมาไหว้พระเก้า วัดในครั้งนี้

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๘





ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัดตอนที่ ๘ วัดพระยืน
หลังจากทานอาหารกลางวันแล้วเราก็ไป จ.ลำพูน ถ้าเปรียบเชียงใหม่เป็น ผู้ชาย จ.ลำพูนก็เป็นผู้หญิง หรือถ้าเชียงใหม่เป็นลูก ลำพูนก็เป็นแม่ เพราะเป็นเวียงเก่าแก่เกิดก่อนเมืองเชียงใหม่
วัดพระยืนหรือชื่อเดิม ว่า วัดพฤทธมหาสถาน รับรองคนกรุงเทพ ไม่รู้จัก เพราะไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวแต่เป็นวัดเก่าแก่สร้างโดยกษัตริย์ หริภุญชัย นามว่า พระเจ้า ธรรมิกราช ลักษณะมณฑป เป็นสี่ทิศ ประดิษฐานพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ในท่ายืน จึงเรียนว่า พระยืน
เรามากราบนมัสการที่นี่เพื่อน้อมระลึกถึง พระพุทธเจ้า ห้า พระองค์ ในภัทรกัปป์นี้ และเป็นการเตือนใจให้เราต้องหมั่นเพียรปฎิบัติเพื่อให้หลุดพ้นภายในภัทรกัปป์อันยาวนานนี้
เรื่องเล่าที่เกี่ยวกับพระโพธิสัตว์ ทั้ง ๕ พระองค์เป็นนิทานเรื่องพระยากาเผือก ….......มีนกกาสองตัวอาศัยอยู่ในป่าหิมวันต์บนต้นไม้มะเดื่อใกล้กับแม่น้ำ วันหนึ่งนางกามีครรภ์ ตอนใกล้รุ่งนางกาก็มีนิมิตฝันว่า ได้แก้วมุกดาสุกใสสว่างถึง ๕ ดวงรัศมีสว่างไสวเหมือนกับดวงอาทิตย์ นางกาชื่นชมแล้วก็ทำพลัดตกจากมือหายไป นางกาสดุ้งตื่นเล่าให้สามีฟัง(สามีคือพญากาเผือก) ที่ชาติกำเนิดเดิมเป็นเทวดาอยู่ชั้นพรหม จึงตอบว่า นี่เป็นนิมิตที่ได้บุตรที่มีบุญแต่จะพลัดพรากจากกันจึงได้แต่เตือนนางกา ให้ระวังรักษาตัวและช่วยกันสร้างรั้ว หลังจากนั้น๗ วัน นางกาก็วางไข่ ห้าฟอง ตามฝัน วันหนึ่งเกิดพายุใหญ่ ไข่ทั้งห้าพลัดตามพายุไหลไปตามน้ำ เทวดารักษาให้มีผู้รักษาไข่ คือ ไก่ นาค เต่า โค และราชสีห์ ต่อมาเมื่อแม่กาและพญากาเผือกกลับมาไม่เห็นบุตรก็สุดเสียใจ ตรอมใจตายกลับไปเกิดเป็นพรหม
ไข่ทุกฟองที่บรรดา ไก่ นาค เต่า โค และราชสีห์ ต่างตั้งนามให้ตามเชื้อชาติตน
ฟองที่หนึ่ง นามว่า กุกุกสันโธ
ฟองที่สอง นามว่า โกนาคม
ฟองที่สาม นามว่า กัสสปะ
ฟองที่ สี่ นามว่า โคนาคม
ฟองที่ห้า นามว่า เมตตราโย
ทั้งหมดต่างมีร่างกายเป็นมนุษย์ ต่างปรารถนาพุทธภูมิ เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน จึงอธิษฐานเป็นพระพุทธเจ้าร่วมกัปป์เดียวกัน ดังนั้นในภัทรกัปป์นี้จึงมีพระพุทธเจ้ามากที่สุด
การมานมัสการที่วัดนี้อย่าดูแต่ภายนอกจงใช้ใจที่นบน้อมถึงพร้อมด้วนศรัธทา ตั้งปฎิญญาว่าจะปฎิบัติให้หลุดพ้นภายในภัทรกัปป์นี้ การไหว้พระเก้าวัดของเราก็มีความหมายเพราะวัดที่แปดนี้ เราจะตั้งจิตถวายสังฆทานโดยมีพระพุทธเจ้าห้าพระองค์เป็นประธาน วัดนี้เป็นวัดที่แปด จงเพียรปฎิบัติให้เข้าถึงมรรค มีองค์แปด
สัมมาทิฐิ คือการตั้งจิต ตั้งความเห็นในทางที่ถูก
สัมมาสังกัปปะ คือ ดำริในทางที่ถูก
สัมมาวาจา คือ ใช้วาจาที่เป็นประโยชน์
สัมมาวายามะ คือ มีความเพียรอย่างจริงจังที่จะปฎิบัติและทำกิจทุกอย่างให้สำเร็จตามความมุ่งหมาย
สัมมากัมมันตะ คือการกระทำอันชอบ สำรวมกายอินทรีย์ พร้อมด้วยศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา สมาธิ
สัมมาสติ พึงเป็นผู้มีสติในการดำเนินชีวิต รู้ผิดรู้ชอบ และ สามารถควบคุมตนเองไม่ให้ออกนอกกรอบ
สัมมาสมาธิ มีจิตที่ตั้งมั่นในอันที่จะขจัดกิเลส ของตน ด้วยการหมั่นปฎิบัติ ทำสมาธิ ให้นิ่งและสงบ
เมื่อเราจากวัดนี้ไปสิ่งที่เราได้คือความตั้งใจที่จะอยู่ในมรรคมีองค์แปด ดำเนินรอยตามพระพุทธองต์เพื่อหนทางที่สว่างด้วยปัญญาทั้งทางโลกและทางธรรม........สาธุ...สาธุ...สาธุ......

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๗







ตาม อ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ตอนที่ ๗
วัดที่๗วัดโลกโมฬี วัดนี้ตั้งอยู่ทางประตูช้างเผือก เป็นประตูเมืองด้านตะวันตก สร้างขึ้นในสมัยพญากือนากษัตริย์องค์ที่ ๖ แห่งราชวงค์มังราย เป็นวัดร้างมาช้านานแต่ยังมีเจดีย์ที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่นทั้งยังมีคงความศักดิ์สิทธิ์เชื่อว่ามีรุกขเทวดาคอยดูแล จึงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของคนเชียงใหม่ในปัจจุบัน
ย้อนกลับไปถึงกษัตริย์ราชวงค์มังรายองค์ที่ ๑๒ เป็นองค์หนึ่งที่ดูแลวัดโลกโมฬีเป็นพิเศษทรงพระนามว่าพญาเกศเชษฐราช ซึ่งฟื้นฟูวัดนี้ครั้งแรก หลังจากที่สร้างในสมัยพญากือนา กษัตริย์องค์ที่ ๖
พญาเกศเชษฐราชมีโอรสและธิดา ๔ องค์ที่มีความสำคัญเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ล้านนาและล้านช้างมาถึงอยุธยา มีพระนามลำดับดังนี้
๑ พระนางยอดคำทิพย์ ถูกส่งไปเป็นมเหสีของพระเจ้าโพธิสารแห่งอาณาจักรล้านช้างเป็นพระมารดาของพระไชยเชษฐา ที่ต่อมาครองเชียงใหม่ แล้วเสด็จกลับพร้อมอัญเชิญพระแก้วมรกตไปด้วย
๒ พระนางจิรประภา ที่ปรากฎในเรื่อง สุริโยทัย ตอนศึกเชียงใหม่ ที่พระไชยราชาเสด็จนำทัพด้วยพระองค์เองเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๕
๓ ท้าวทรายคำ กบฏต่อบิดาขึ้นครองราชย์ องค์ที่ ๑๓
๔ พระนางวิสุทธิเทวีได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าบุเรงนอง เป็นกษัตริย์องค์ที่ ๑๘ แห่งราชวงค์มังรายองค์สุดท้าย
เราทำบุญที่วิหาร ชมความงามของวัด และไปกราบพระรูปพระนางจิรประภา และเจ้าแม่กวนอิม เสร็จแล้วเดินทางต่อไปที่ จ.ลำพูน

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๖




ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัดตอนที่ ๖

ออกจากวัดพระสิงห์วรมหาวิหารแล้วก็ขึ้นดอย.....ใครที่ไปเชียงใหม่แล้วไม่ได้ไปนมัสการพระธาตุดอยสุเทพก็เหมือนมาไม่ถึงเชียงใหม่
ประวัติคราวๆของพระธาตุดอยสุเทพสร้างสร้างขึ้นในสมัยพญากือนา ในช่วงพ.ศ.๑๙๒๘ ทรงได้แต่งฑูตเชิญพระราชสาสน์ไปถวายแก่พระมหาธรรมราชาลิไท แห่งกรุงสุโขทัยขอพระสุมนเถระไปสืบพระศาสนาที่เชียงใหม่อันนี้เป็นตำนานของวัดสวนดอก เมื่อพระสุมนเถระเดินทางมาถึงเชียงใหม่ พญากือนาได้นิมนต์มาจำพรรษาที่วัดบุปผารามหรือสวนดอก ชื่อเดียวกับวัดของนางวิสาขาในสมัยพุทธกาล
พญากือนาได้ถวายสมณศักดิ์ให้เป็น พระสุมนบุพพารัตนมหาสวามี และพระสุมนเถระได้ถวายพระบรมสารีริกธาตุแก่พญากือนา และหลังจากที่พญากือนาได้สรงน้ำพระบรมสารีริกธาตุด้วยเครื่องหอมและบูชาด้วยเครื่องสักการะ พระบรมสารีริกธาตุได้เกิดปาฎิหาริย์แยกออกเป็น สอง องค์ พญากือนาทรงโปรดให้สร้างเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์เล็กที่เจดีย์วัดสวนดอก ส่วนองค์ใหญ่ได้อัญเชิญขึ้นช้างมงคลเสี่ยงทาย ช้างมงคลได้เดินทางขึ้นเขามาถึงวัดดอยสุเทพปัจจุบันแล้วถึงแก่ความตาย
พญากือนาจึงได้ทรงสร้างอนุสาวรีย์ของช้างมงคลไว้ตรงบริเวณลานพระเจดีย์ทางทิศตะวันออกจากนั้นพญากือนาได้โปรดให้ขุดดินลึกถึง ๘ ศอก นำหินใหญ่มาทำเป็นหีบพร้อมอาราธนาพระบรมสารีริกธาตุพร้อมผอบทองคำตั้งไว้ในหีบหิน แล้วถมด้วยศิลาจนราบเรียบ ก่อพระเจดีย์องค์หนึ่งสูง ๕ วา ครอบบนพระบรมสารีริกธาตุและขนานนามว่า “ วัดพระธาตุดอยสุเทพ” ตามนามของพระฤษี สุเทพ ซึ่งอาศัยอยู่บนเขาลูกนี้
ทำให้ทราบว่าทำไมถึงไม่ให้ผู้หญิงเดินเข้าด้านใน และเป็นคติของชาวล้านนา อีกเหมือนกันที่จะนำพระพุทธรูป แก้ว แหวน เงินทอง ที่จะถวายเป็นพุทธบูชามาบรรจุไว้ใต้ฐานเจดีย์
ทางขึ้นดอยสุเทพตรงทางแยกจะมีอนุสาวรีย์ ครูบาศรีวิชัย และวัดศรีโสดา ไปทางขวาอีกสองกิโลเมตรมีวัดสกิทาคามี อยู่ตรงน้ำตกผาลาดพอดี
พวกเราได้ถวายสังฆทานที่วิหารและเดินประทักษิณ สามรอบ แล้วนมัสการพระเจ้าทันใจ แล้วถ่ายรูปหมู่ที่วัดพระธาตุดอยสุเทพ ตอนลง อ.แอนบอกว่า ใครยังเด็กอยู่ให้เดิน ลงบันไดนาค ใครรู้ตัวว่าแก่ ให้ลงลิฟท์

23/11/54

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๕



ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ตอนที่ ๕
เช้าวันที่สอง เราจะไปไหว้พระกันที่วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร ศิษย์ชายจำนวนหนึ่งและศิษย์เยาวชน อ.แอน ได้ออกเดินทางจากโรงแรม ที่พักไปทำความสะอาดที่วัดพระสิงห์ก่อนที่คณะอ.แอนจะเดินทางไปในเช้าตรู่ ….ช่วยกันกวาดลานวัดและอื่นๆ..มีสาว2 อนงค์ที่ได้ไปจัดเตรียม สังฆทานที่วัดพร้อม ศิษย์ชาย ทุกคนคงรู้ว่าคือใคร....อ้อ โซ้ยหมวยลิงน้อยกับแม่เสือดำ นั้นเอง (ทั้งสองได้บุญมากกว่าคนอื่น)

จากบทความของอ.แอน ….วัดนี้มีอายุเกือบ เจ็ดร้อยปี สร้างในสมัยพญาผายู กษัตริย์ในรัชกาลต้นๆแห่งราชวงศ์เม็งราย พระองค์ทรงสร้างพระเจดีย์ขึ้นทางทิศตะวันตกของเมืองเชียงใหม่ใกล้ประตูสวนดอก เพื่อบรรรจุอัฐิของพญาคำฟูพระราชบิดา และโปรดให้สร้างพระวิหารแห่งนี้ขึ้น ลักษณะของผังการสร้างเป็นไปตามคติศูนย์กลางจักรวาล มีองค์เจดีย์เป็นประธานหรือศูนย์กลาง มีวิหารหลวงตั้งในแนวแกนตะวันออก ซึ่งเป็นแนวแกนเดียวกับองค์เจดีย์และวิหารทิซ คือวิหารลายคำ ที่ประดิษฐานพระพุทธสิหิงค์หรือพระสิงห์ เป็นวิหารด้านทิศใต้ถือว่าเป็นทิศที่สำคัญของพุทธศาสนานิกายลังกาวงค์

พวกเราไปทำบุญถวายอาหารเช้าและสังฆทานเช้าที่วิหารหลวง เดิมวัดนี้ชื่อวัดลีเชียงพระ ในเทศกาลสงกรานต์ทุกปีจะมีการอัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มาประดิษฐานบนบุษบกแห่รอบเมืองเชียงใหม่ให้ประชาชนสรงน้ำเพื่อความเป็นศิริมงคล
พวกเราได้ทำความสะอาดปัดกวาด เป็นสัมมาทิฐิ ดำริชอบ พยายามชอบและมีการกระทำอันชอบช่สวเหลือการงานชอบ ทำให้มีวรรณะผ่องใส ใจสะอาด สงบ
เราได้ถวายภัตตาหาร สังฆทาน ถึงพร้อมด้วยสังคหวัตถุสี่ อันมีทานในเนื้อนาบุญอันประเสริฐ มีพระพุทธสิหิงค์เป็นประธาน เราพึงมีวาจาอันไพเราะ ปราศจากอารมณ์โกรธเป็นการประกอบกรรมอันเป็นกุศลทีมีอนิสงส์สูงยิ่งในเช้าวันนี้

16/11/54

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๔




ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ตอนที่ ๔

ออกเดินทางมาถึงวัดที่ ๔ ก็เย็นแล้ว วัดที่เราคุ้นเคย ที่พวกเรามักเรียกสั้นๆว่า วัดบ้านเด่น หรือชื่อเป็นทางการว่า วัดเด่นสะหลีศรีเมืองแกน อ.แอนได้เขียนบทความ ไว้ว่า ตั้งแต่ยามเช้าเราได้เริ่มไหว้พระเก้าวัดมาแล้วสามวัดพรั่งพร้อมด้วยคุณค่าของเกร็ดตำนาน ประวัติศาสตร์ ได้ทำบุญอย่างเต็มอิ่ม การเดินทางสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้น สำคัญการแต่งกายต้องดี ดั่งชาวฟ้าชาวสวรรค์ลงมานมัสการพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ ทีมีเทวดารักษาความสงบสำรวมทั้งกาย วาจา และใจ ที่เป็นบุญ แม้กระทั่งการถอดรองเท้าเข้าวัดก็ต้องรู้จักวางให้เป็นระเบียบ
พวกเรารับประทานอาหารเย็นที่วัดบ้านเด่น เป็นขันโตก แบบชาวเหนือ ศิษย์เยาวชนยังไม่เคยมาก็แสดงอาการตื่นตาตื่นใจกับการนั่งรับประทานอาหาร และสถานที่ของวัด ซึ่งค่ำคืนนี้จะมีการสมโภชกฐิน
เดิมชื่อวัดหรีบุญเรือง สร้างเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๗ มีลักษณะเป็นเนิน จึงเรียกว่า บ้านเด่น(อยู่บนเนิน) ตำนวนโบราณว่าเป็นถ้ำที่มีของศักดิ์สิทธิ์ทั้งในอดีตกาลเคยเป็นที่บำเพ็ญของพระโพธิสัตว์ พระผู้มีบุญบารมีสุงจึงสามารถนำความเจริญมาสู่ได้ดังที่เราเห็นและปรจักษ์แก่ตาแก่ใจมาแล้วคือ ครูบาเจ้าเทือง นาถสีโล คือเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ปฏิปทาของท่าน
“ครูบาอ่อนน้อมถ่อมตน ฝึกฝนปฎิบัติ เคร่งครัดพระธรรมวินัย จิตใจสุขุมเยือกเย็น บำเพ็ญบารมี ทำความดีเป็นนิจ จิตเมตตาเสมอ” ท่านสอนว่า เป็นพระต้องพูดจริง ต้องทำจริง และต้องรู้จริง
พระประธานของวัดคือพระเจ้าเก้าตื้อ (องค์จริงปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดสวนดอก) ซึ่งถือว่าเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดของล้านนา ครูบาสร้างวัดบ้านเด่นแบบเป็นศิลปะล้านนา ที่งดงาม ตระการตา พวกเราภูมิใจที่ได้ร่วมบารมีและได้มาสมโภชกฐินที่วัดแห่งนี้เป็นวัดสุดท้ายของวันนี้ และขณะที่ครูบาสวดมนต์อยู่นั้น ฝนได้โปรยปรายลงมาเหมือนเทวดากำลัง พรมนื้มนต์มาให้ผู้คน ที่ร่วมในพิธี หลังจากนั้นฝนได้ตกลงมากขึ้นจนกระทั้งชาวเขาที่นั่งอยู่กลางแจ้งได้ลุกหลบไปนั่งในศาลา พวกเราหลายคนได้เห็น โต๊ะหมู่บูชา ที่ตั้งอยู่กลางแจ้ง แม้ฝนตก จนกระทั้งฝนหยุดตก เทียนที่จุดบูชาในพิธีตั้งแต่ต้น ไม่ดับสักเล่ม
เมื่อกลับถึงที่พัก สวดมนต์ ทำสมาธิ เพื่อผลบุญอันสมบูรณ์ทั้งกาย วาจา และใจ

15/11/54

ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัดตอนที่ ๓



ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ตอนที่ ๓ วัดพระธาตุลำปางหลวง
จากวัดปงยางคก พวกเรา 5 บัส ขึ้นรถนิดเดียวก็ถึง วัดพระธาตุลำปางหลวง ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญทางล้านนาประเทศที่สุดตั้งแต่สมัยพุทธกาล มีตำนานพื้นเมืองที่เล่าเรื่องราวความสำคัญและความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่แห่งนี้มากมาย
นับตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอานนท์ และพระเถระเจ้า รวม ๔ ระองค์ได้เสด็จมายังสถานที่นี้ได้ทรงพบกับชาวลั๊วะ อ้ายกอน อ้ายกอนได้ตัดกระบอกถวายน้ำให้พระพุทธองค์ หลังจากนั้นก็ปักไว้บนพื้น กลายเป็นต้นไม้ให้เราเห็นในปัจจุบัน พระพุทธองค์ทรงมีพุทธทำนายถึงอนาคตและความเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนา ณ สถานที่แห่งนี้ว่า จะมีผู้มาสร้างเมืองชื่อ ลัมพกัปปะนคร หรือ นครลำปาง ในปัจจุบัน และจะมีผู้นำพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์มาประดิษฐานไว้ที่แห่งนี้ ต่อจากนั้นทรงประทานพระเกศาให้ ลั๊วะอ้ายกอน รักษาไว้ พระอานนท์ได้แนะนำให้อ้ายกอนสร้างสถูปเจดีย์ครอบไว้
ในสมัยหริภุญชัย กล่าวถึงเมื่อพระนางจามเทวี ประทับอยู่ที่ปงยางคกได้แลเห็นแสงสว่างของสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ทรงนำพระบรมสารีริกธาตุมาบรรจุ และได้ทรงอธิษฐานให้เกิดบ่อน้ำเพื่อเลี้ยงประชาชน
ถ้าเราเดินผ่านเข้ามาด้านใน จะเห็นป้ายเขียนเป็นสถูปของเจ้าหญิง อโนชา จากสายสกุล ณ ลำปาง เป็นราชธิดาคนที่ ๕ ของเจ้าชายแก้ว บุตรของพระยาสุลวฤ าไชย สงคราม หรืออดีตหนานทิพย์ช้าง แห่งนครลำปางที่กู้อาณาจักรล้านนาให้พ้นจากพม่า
มีสถานที่สำคัญอีกแห่งคือ กุฎิพระแก้วมรกต องค์น้อย ที่เราเห็นเป็นองค์จำลอง องค์จริงอยู่ที่วัดพระแก้ว กรุงเทพ แต่ชาวลำปางบอกของเค้าองค์จริง เค้าหล่อองค์จำลองส่งไปเชียงใหม่ ความจริงพระพุทธรูปไม่มีองค์จริงองค์จำลอง เพราะเป็นพระพุทธรูปที่จำลองพระพุทธเจ้าจัดเป้นอุเทสิกเจดีย์เหมือนกันหมด ที่ใดมีพระพุทธรูปอยู่เสมือนพระพุทธเจ้าประทับอยู่ พวกเราบางคนก็ได้เช่า พระแก้วมรกตมาบูชาซึ่งงดงามจริงๆ
เรามาที่นี้เสมือนหนึ่งได้ย่างก้าวสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ตามรอยพระบาทเพราะเป็นสถานที่พระพุทธองค์ได้เคยมาเคยประทับและละเกศาธาตุให้เราได้นบไหว้สักการระบูชา เปรียบเสมือน วัดเชตวันมหาวิหาร
เราร่วมกันสักการะพระบรมสารีริกธาตุ ถวายสังฆทาน และระลึกถึงคุณของพระมหากษัตริย์ พุทธบริษัทสี่ที่รักษามรดกและศาสนประเพณีเหลือไว้ให้ลูกหลานได้นบนอบบูชาเป็นเวลายาวนานตราบเท่าทุกวันนี้

5/11/54

ตามอ.แอน ไปไหว้พระ ๙ วัดตอนที่ ๒


ตามอ.แอนไปไหว้พระ๙วัด ตอนที่๒
เมื่อทุกคนพร้อมก่อนเวลาเราก็เดินทางไปวัดที่สอง คือวัดปงยางคก จังหวัดลำปาง ระหว่างเดินทางพวกเราบางคนก็หยิบบทความที่อ.แอนเขียนบรรยายให้มาอ่านอีกครั้ง เหมือนกับกำลังจะเข้าห้องสอบถึงประวัติของวัดที่สอง แค่ชื่อก็ทำให้งง งง งง ว่าเราอ่านออกเสียงถูกหรือไม่
ปง เป็น คำเรียกสถานที่ ยางคก เดิมเรียกว่า ช้างนบ คือเป็นสถานที่ช้างนั่งลงชูงวง ในท่าแสดงความเคารพ ในประวัติวัดนี้สร้างในสมัย พระนางจามเทวี เมื่อพระนางเสด็จผ่านสถานที่นี้เพื่อไป ครองหริภุญชัยหรือนครลำพูน ปัจจุบัน พระนางได้นำพุทธศาสนา พระสงฆ์ พระพุทธรูป ตลอดจน พระบรมสารีริกธาตุ โดยอัญเชิญมาบนหลังช้าง เมื่อช้างมาถึง ณ. สถานที่แห่งนี้ก็ไม่ยอมเดิน ถอยหลังนั่งลงชูงวงในท่าแสดงความเคารพ ภาษาเหนือคือที่ที่ช้างนบไหว้ ภายหลังเพี้ยนมาเป็น ยางคก
ที่บ้านปงยางคก ยังเป็นบ้านเกิดของบุคคลสำคัญอีกท่านหนึ่งคือ เจ้าหนานทิพย์ช้าง ผู้กู้ล้านนาจากพม่า หลังจากเสร็จศกสงครามจากพม่า รัชกาลที่ ๑ ได้ทรงแต่งตั้งเป็นเจ้าพระยาสุลวฤาไชยสงครามเป็นครองนครลำปาง และท่านเคยบวชเรียนอยู่ที่วัดแห่งนี้ เมื่อเรามาถึงจะเห็นรูปปั้นของท่าน ท่านเป็นต้นตระกูลของเชื้อเจ้าเจ็ดต้น ณ ลำปาง ณ ลำพูน ณ แพร่ ณ น่าน ณเชียงราย โดยลำดับ
วัดที่สองนี้พวกเราจะได้มาสักการะ ถวายเครื่องสังฆทาน และถวายพระพุทธรูป ไว้ ณ ที่นี้ถวายเป็นพุทธบูชา เป็นกุศลส่งถึง พระนางจามเทวี และเจ้าพระยาสุลวฤาไชยสงคราม บุคคลที่สำคัญยิ่งทางล้านนาประเทศ
วัดปงยางคก เกี่ยวพันกับเจ้านายฝ่ายเหนือ และพระนางจามเทวี กษัตริย์ผู้มีคุณูปการด้านศาสนาจึงฟ้องกับเรื่องราวของวัดที่พระญาติศากยวงค์ สร้างถวายพระพุทธองค์ และพระนางประชาบดีโคตรมีก็เป็นภิกษุณีผู้มีคุณูปการกับพุทธศาสนา ด้วยศรัทธาแรงกล้าทำให้สตรีสามารถออกบวชในบวรพระพุทธศาสนา เช่นเดียวกับพระนางจามเทวีที่มีศรัทธาแรงกล้าในอันที่จะนำพุทธศาสนามาสู่แดนล้านนา เป็นการไหว้ที่ได้บุญมากมายทั้งเทวดาจะรักษาทุกท่านที่มีความกตัญญูต่อแผ่นดินทั้งการรักษาแผ่นดินให้พุทธศาสนาได้ปลูกปักอย่างมั่นคง
ที่วัดนี้พวกเราได้รับประทานอาหารว่าง จาก เจ้าป้ากาญจนา โดยเจ้าพี่อัญชลีพรถึงแม้จะไม่ได้มาก็ยังฝากให้เจ้าป้ากาญจนา นำอาหารว่างเช่น ซาลาเปา ไส้ต่างๆมาให้พวกเรารับประทานอย่างร้อนๆๆและอร่อยมากอีกด้วย เท่าที่ทราบคนละอย่างน้อย สอง ลูก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกเดินทางไปวัดที่สามต่อไป

4/11/54

ตามอ.แอนไปไหว้พระ ๙ วัด ๒๘-๓๐ ตุลาคม ๒๕๕๔ ตอนที่ ๑


บ่ายวันศุกรุ์ที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๔ พวกเราลูกศิษย์และหลานศิษย์ของ อ.แอนทั้งหมด ๙๖ คนได้เดินทางด้วยรถVIP 24 ที่นั้งจำนวน 5 คันได้ออกเดินทางจาก ชุนเทียน มุ่งหน้าจ.พิษณุโลก เพื่อไปทำบุญไหว้พระ ๙ วัดตามกำหนดเดิมที่อ.แอนแจ้งไว้ว่าหลัง
ออกพรรษา เมื่อพวกเราได้ไปทอดกฐินเยาวชน ที่วัดโพธิ์ทอง จ.นครสวรรค์ แล้วพวกเราทั้งหลายจะไปไหว้พระ ๙ วัดและทอดกฐิน
ทีวัด บ้านเด่น ของครูบาเจ้าเทือง ......
พวกเราตั้งใจ ไปไหว้พระ ๙ วัดโดยท่านอ.แอน ได้กรุณาเขียนบทความ เกี่ยวกับประวัติของวัดทั้ง ๙ แห่งให้พวกเราได้อ่านทำความเข้าใจไปล่วงหน้าก่อน เมื่อออกจากกรุงเทพฯทุกคนจิตใจผ่องใส ไม่กลัวน้ำท่วมเลยเพราะทุกคนเชื่อว่าเทวดาท่านต้องเปิดทางให้พวกเราไปทำบุญโดย สวัสดิภาพ แน่นอน
เมื่อเดินทางมาถึงเมืองสองแคว ได้เข้าที่พักที่โรงแรม TOPLAND เรียบร้อยเด็กๆทุกคนHAPPYมาก พวกเราใส่เสื้อสีม่วงทุกคนที่เราใส่เสื้อสีเดียวกันเพื่อสะดวกเวลา ลงรถแวะเข้าห้องน้ำ เวลาตามจะได้ดูง่ายเพราะเราพาญาติพี่น้องร่วมเดินทางไปด้วยบางคนอาจจะไม่คุ้นหน้ากัน
พวกเราถูกปลุกเวลา ๐๕.๓๐ นทุกคนแต่งกายสวยงาม ผู้หญิงทุกคนใส่ผ้าซิ่น ส่วนผู้ชายในชุดผ้าไหมหรือชุดพระราชทาน(โดยเฉพาะเด็กใส่ได้สวยงามดูอ่อนหวานเหมือนกุลสตรีสมัยก่อน)
จากนั้นได้ออกจากโรงแรมไปวัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร ที่ประดิษฐาน พระพุทธชินราช ซึ่งเป็นปางเดียวกับที่ปรากฎเป็นพระประธานบนจุฬามณี สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทั้งพระพุทธชินราชเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้าองค์ปฐมและแทนพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ที่ลงมาตรัสรู้ สอนสัตว์ทั้งหลายเดินออกจากวัฎฏสังสารนี้ เป็นเวลาช่วงเช้ารุ่งอรุณ พระอาทิตย์ขึ้น เสมือนหนึ่งเป็นอารามแรกในพุทธศาสนา ทั้งประวัติการสร้างของพระพุทธชินราชก็มีเทวดาหรือเชื่อว่าพระอินทร์มาช่วยหล่อเป็นผลสำเร็จ
พวกเราได้ถวายผ้าไตรจีวร สังฆทานและสังฆทานยา ๙ ชุดและได้กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติ อ.แอนได้เล่าว่าเสมือนในสมัยพุทธกาล ที่พระเจ้าพิมพิสาร ได้ทำบุญและอุทืศส่วนกุศลให้กับเปรตพระญาติ และพระพุทธเจ้าได้บันดาลให้พระเจ้าพิมพิสารเห็นเปรตพระญาติกลายเป็นเทวดา ผิวพรรณ ผ่องใส และตรัสว่า
"ทักษิณาที่มหาบพิตรถวาย อุทิศให้หมู่พระประยูรญาติ ในวันนี้ เพราะเหตุที่พระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยมของโลก เป็นทักษิณาที่ทรงตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ ทานนี้จึงสัมฤทธิ์ผลในขณะนี้ทันที่"
ทักษิณา ย่อยสำเร็จผลคือให้เกิดผลในขณะนั้นต้องเป็นทานที่มีองค์ประกอบ ๓ คือ
๑ ด้วยการอนุโมทนา ด้วยตนเอง
๒ ด้วยการกล่าวคำอุทิศของทายกทั้งหลาย
๓ ด้วยการถึงพร้อมทักขิไณยบุคคล
หลังจากนั้นพวกเรากลับมาโรงแรมที่พักเพื่อรับประทานอาหารเช้าและออกเดิทางไปวัดที่สองต่อไป

6/10/54

‘ฮวงจุ้ยเด็ก’ เคล็ดลับทำให้ลูกหลาน (เรียน) เก่ง (สุขภาพ) ดี (ชีวิต) มีความสุข) โดย อาจารย์แอน


ขอเชิญร่วมกิจกรรม งานเปิดตัวหนังสือผลงานของ อาจารย์แอน เล่มนี้ขึ้น ที่ บูธสำนักพิมพ์สามสี บูธ G10 โซนเพลนนารีฮอลล์ ในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ.2554 เวลา 14.00-16.00น. ในวันนั้นทุกท่านจะได้พบกับ อาจารย์แอน (ตัวจริง เสียงจริง) ที่จะมาแจกลายเซนลงในหนังสือ “ฮวงจุ้ยเด็ก” ทุกเล่มที่ซื้อจาก บูธสำนักพิมพ์สามสี ขอบอกว่า ราคาพิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น

นอกจากส่วนลดพิเศษต่าง ๆ แล้ว ท่านสามารถตั้งคำถาม เกี่ยวกับโหงวเฮ้ง ฟรี 1ข้อ ย้ำ..เฉพาะวันนี้เท่านั้นแล้วพบกันที่ บูธสำนักพิมพ์สามสี G10 นะคะ
 
สำนักพิมพ์สามสี หนังสือดี มีคุณภาพ ราคาพิเศษเฉพาะในงาน พบกันที่ บูธ G10 นะคะ


www.facebook.com/ampbooks
 

พิเศษสำหรับในวันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2554 เวลา 14.00 – 15.00 น. ขอชิญทุกท่านร่วมงานเปิดตัว ‘ฮวงจุ้ยเด็ก’ เคล็ดลับทำให้ลูกหลาน (เรียน) เก่ง (สุขภาพ) ดี (ชีวิต) มีความสุข และฟังความรู้เกี่ยวกับหลักวิชาฮวงจุ้ย โดย ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน) ณ ห้อง Meeting Room 3 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย




หน้าสุดท้ายของหนังสือ ฮวงจุ้ยเด็ก มีอภินันทนาการพิเศษ จาก สำนักพิมพ์สามสี และอย่าทิ้งใบเสร็จรับเงิน เพราะว่าสำคัญสำหรับท่าน


สำนักพิมพ์สามสี เล็งเห็นความสำคัญของการอบรมเลี้ยงดูบุตรหลานของท่าน จึงจัดการอบรมพิเศษขึ้น เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ พ่อ แม่ ผู้ปกครอง ในการดูแลบุตรหลาน ให้เป็นเยาวชนคนเก่ง คนดี ของสังคม ในหัวข้อ  ฮวงจุ้ยเด็ก’ เคล็ดลับทำให้ลูกหลาน (เรียน) เก่ง (สุขภาพ) ดี (ชีวิต) มีความสุข)  โดย ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน) ในวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2554 เวลา 9.00-11.00 น. ที่ อาคารนางฟ้า บริษัท ชุนเทียน จำกัด (ใกล้สถานีขนส่งสายใต้ ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพฯ)


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 16 (Book Expo Thailand 2011) วันที่ 5 - 16 ตุลาคม พ.ศ.2554  หรือที่ www.facebook.com/ampbooks

2/9/54

วันไหว้ครู ๔ กันยายน ๒๕๕๔

การไหว้ครู ถือเป็นเอกลักษณ์ทางประเพณีของคนไทย เป็นการแสดงออกถึงการให้ความเคารพเทิดทูนคุณ ครูบาอาจารย์ผู้ถ่ายทอดสรรพวิชาความรู้ให้ศิษย์ ด้วยความรัก ความเมตตา และปรารถนาดี ถึงแม้กาลเวลาจะเคลื่อนผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
คนไทยและวัฒนธรรมไทยก็ยังคงให้ความสำคัญกับประเพณีนี้อยู่ โดยถือเป็นคุณธรรมที่สำคัญอย่างสูง

การไหว้ครู นอกจากจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงการรู้จักบุญคุณของผู้ให้ความรู้แล้ว ยังเชื่อกันว่า ผลของการที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จักการตอบแทนบุญคุณ ก็จะส่งผลเกื้อหนุนให้ผู้นั้นมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง

ในวันอาทิตย์ที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๔ นี้เชิญชวนลูกศิษย์ของ ท่านอาจารย์ ษณอนงค์ คำแสนหวี หรือ อาจารย์แอน มาร่วมในงานไหว้ครูโหราศาสตร์ เวลา ๑๒.๐๐ น. ที่บริษัท ชุนเทียน จำกัด ถนนบรมราชชนนี โดยพร้อมเพียงกัน

การแต่งกาย ชาย ชุดไทยพระราชทาน
หญิง ซิ่นสวยงาม
โทร.แจ้งมาร่วมงาน 089-5213311

22/8/54

วันนี้..วันพระ (๒๒ สิงหาคม ๕๔) โดย อาจารย์แอน




โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)



วันนี้เรามาใคร่ครวญพิจารณาถึง “ความว่างจากโลกธรรม ๘” เพราะบางครั้งเวลาเราทำสมาธิ จิตก็สงบดี อะไรที่เหมือนปลงไม่ได้ก็ปลงได้วางได้ในเวลานั้น แต่หลังจากไปวัด ไปนั่งสมาธิกลับมาแล้ว เราก็อยู่กับสภาพแวดล้อมเดิม ๆ เราก็รู้สึกแบบเดิม ประกอบสมาธิ และ ตบะของเรายังไม่ถึงขั้น เพราะมีเวลาฝึกน้อย อารมณ์ที่ถือว่าเป็นความเป็นไปในโลกแบบธรรมดาทั้ง ๘ ประการเข้ามาครอบงำโดยไม่รู้ตัว เราก็เพลิดไปกับอารมณ์นั้น

ดังนั้นเวลาเรานั่งสมาธิ นิวรณ์จึงเข้ามากวน คือ ความฟุ้งซ่านในแต่ละเรื่อง ทำให้ปฏิบัติไปไม่ถึงไหน

มาทำความรู้จักกับโลกธรรม ๘ ประ การ ศัตรูผู้ขวางทางการปฏิบัติของเรา
๑.ความทุกข์ ข้อนี้ไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนรู้จัก อะไรที่ไม่ได้ดังใจคือทุกข์ทั้งนั้น แก้ด้วยคำว่า อย่าเปรียบเทียบ พยายามอย่าเอาจิตออกนอกตัวต้องมีสติกำกับ ไม่มองคนอื่น ไม่สนใจใครจะมีจะจน จะสวย จะหล่อ จะรวย เราพึ่งตนเองตามกำลัง ความสามารถและสติปัญญา และความเพียรพยายาม ดังคำที่ว่า “บุคคลล่วงทุกข์ ด้วยความเพียร”

๒.ความสุข เป็นสิ่งที่มีในโลกที่ทุกคนยินดีต้อนรับ แต่มาไม่นาน เพราะเราติด จึงเกิดตัณหา อยากให้สุขมันเรื่อยไปทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้ เราจงคิดว่า รู้ทุกข์ จึงรู้สุข สุขก็สุขแต่ปานกลาง ไม่โลภ จิตพอเพียง พยายามได้แค่ไหนก็มีความสุขกับคำว่าพอ และ คำว่า “ยังดีกว่า” เราไม่ได้อะไรที่สมบูรณ์หรือล้ำหน้าคนอื่นไปเสียทุกด้าน และทุกคนก็เหมือนเรา คิดอย่างนี้ เราก็หันมาพิจารณาเฉพาะตัวเรา และแก้ไข ทุกข์ก็รู้ สุขก็รู้ สุข คือ จิตที่ผ่องใส เมื่อรู้แล้วก็ต้องประคอง ทั้งการกระทำ และอารมณ์ให้นิ่งอยู่อย่างนั้น สุขใดไม่เท่ากับความสุขที่เกิดจากคำว่า “ พอ ”

๓.สรรเสริญ ในโลกนี้ เราทำถูกใจก็ได้รับคำสรรเสริญเป็นธรรมดา หน้าตา กิริยาของเราเป็นที่ถูกใจก็ได้รับคำสรรเสริญ เราเก่งนำประโยชน์มาสู่ชุมชน เขาก็สรรเสริญ เป็นเรื่องปกติ แต่จงรู้ตัวว่า ที่เขาชมให้มากให้น้อยอย่างไร เราก็เป็นของเราอย่างนี้ ควรพิจารณาให้ดียิ่งขึ้นไป ด้วยการพัฒนา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้อยู่กับตัวเรา

๔.นินทา ไม่มีใครที่ไม่ถูกนินทา แม้องค์พระปฏิมายังราคิน ถ้าไม่ทำให้ชีวิตเราต้องเปลี่ยนแปลงไป เราก็ไม่ต้องสนใจ แต่ถ้าเอิกเกริกไป ก็ต้องมีการชี้แจงเมื่อมีโอกาสและจังหวะที่เหมาะสม อย่าเป็นทุกข์ แล้วเขาก็ไปนินทาคนอื่นต่อ วนเวียนอย่างนี้ สำหรับคนช่างนินทา ถ้าเขารักเราทำอย่างไรเขาก็รัก ถ้าเขาชัง ทำอย่างไรก็ชังอยู่ดี อยู่ที่เราพิจารณาตัวเองว่าเป็นอย่างไร แต่ต้องดูตัวเองอย่างเป็นธรรม

๕.ได้ลาภ เมื่อเราไปตามลำดับของโลกกำหนด ให้เรียนรู้ ประกอบอาชีพ มีครอบครัว เราทำครบ ทำงานก็ได้รับเงิน ทำงานมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย ค้าขายมีกำไรดีทั้งมากและน้อย ต้องรู้จักได้และเสีย เมื่อได้ลาภ ก็เก็บ ให้งอกเงยไว้เผื่อตอนเสื่อมลาภ ไม่ดีใจจนเหลิงเมื่อได้ ทำใจเป็นกลาง ได้ก็ได้ ใช้ให้เป็น ใช้ในที่ควรใช้

๖.เสื่อมลาภ มีได้ก็เสื่อมได้ ไม่มีใครได้ตลอด ผิดมนุษย์ เมื่อเสียนั่นแหละเรื่องปกติ ขยันไว้เดี๋ยวก็วนกลับมา โลกเราเป็นวัฏจักรอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่แน่นอน

๗. ได้ยศ บางคนมีตำแหน่ง ก็แสดงอำนาจบาตรใหญ่ลืมไปว่าวันหนึ่งก็ต้องแก่ วันหนึ่งก็ต้องเสียบารมี สมบัติผลัดกันชม ไม่มีใครได้ไว้ตลอดกาล เมื่อได้ ก็ทำให้ดีที่สุด และ

๘.เสื่อมยศ ถึงเวลาที่สูญหายไปหมด ยศศักดิ์ อำนาจ บารมี ถ้าเราเป็นคนเสมอต้นเสมอปลาย ไม่คิดว่า ยศศักดิ์เป็นของเรา เขาให้มาก็คืนได้ ทำใจได้อย่างนี้ก็ไม่มีผลต่อการดำเนินชีวิตเรา พยายามดำเนินชีวิตให้ไม่ประมาท เพื่อไม่ต้องอาศัยยศช่วยเหลือ


ยังมีแถมอีกว่า เราทั้งได้พบปะคนที่รักชอบ และที่ไม่รักไม่ชอบ เหมือนกันหมด เป็นของที่เป็นธรรมดา เป็นของที่มีอยู่ในโลก ความพยายามในการปฏิบัติของเรา คือ พยายามให้ว่างจากโลกธรรม อย่าไปให้ความสำคัญ ฟูมฟาย ปริเวทนา พิไรรำพัน เพราะไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ต้องเจออยู่ดี จงทำตามพุทธวจนะ “จงดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาทเถิด” พยายามหลีกเลี่ยงการพบปะผู้คนมากมายเกินไป เพราะจะทำให้โลกธรรม ๘ เข้า
มากวน จิตก็ไม่ว่าง จะวางได้สักที

วันพระนี้ ขอให้ตั้งใจทำจิตให้ว่างจากโลกธรรมนี้ จะเป็นกุศล อย่างน้อย วันนี้จิตเราก็ผ่องแผ้ว แจ่มใส สามารถทำสมาธิได้สงบสมความตั้งใจ ...อนุโมทนา...













5/8/54

The Chant of Metta




บทสวด เจริญอัปมัญญา









วันนี้วันพระ ขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๙ วันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๔ โดย อ.แอน





บทความธรรมะ โดย อ.ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

วันนี้วันพระ


มีคำถามสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติว่า “บุญ” คือ อะไร เป็นความหมายที่ต้องอธิบายกันยาว แต่ขอตัดความสั้น ๆ ว่า การทำบุญ หรือ บำเพ็ญบุญ เป็นการชำระจิตใจให้บริสุทธิ์ โดยต้องทำให้ถูกหลัก ตามที่พระพุทธองค์ได้ทรงวางรากฐาน ของการทำบุญ อย่างชัดเจน ความหมายของ “ผู้มีบุญ” คือ ผู้กระทำบุญอยู่เป็นนิตย์ จนทำบาปไม่ขึ้น เรียกว่า บุญคุ้มครอง ไม่ใช่ความหมายที่แลกเปลี่ยนว่าทำบุญแล้วจะไม่มีบาป ไม่มีเรื่อง ไม่มีมารมากวน ต้องแยกแยะ ว่า กรรมก็ส่วนกรรม ทุกคนมีวิบากกรรมเป็นของตนทั้งสิ้น จะแย่งหรือจะบ่งให้กันไม่ได้ ใครทำใครรับ นั่นเอง

การบำเพ็ญบุญที่ถูกต้องคือ

๑.การให้ทาน เป็นการขจัดความโลภ ทั้งให้ฝึกจิตปล่อยวาง เราสังเกตตัวเองว่า เมื่อเราให้ทาน ด้วยใจบริสุทธิ์ สิ่งที่เกิดขึ้นในจิต คือ ความผ่องใส ปิติ ปราศจากอคติใด ๆ ทั้งสามารถละวาง ขจัดความโลภ โกรธ และ หลง ยิ่งมาก ความเสื่อมในจิตก็ลดลง สังเกตได้จากความประพฤติของเราเอง ทั้งยังคิดไม่ดี วาจาก็ไม่ดี ทำอะไรออกมาก็เดือดร้อนคนอื่น ยิ่งคิดให้ร้ายคนอื่นด้วย ผูกโกรธ ผูกอาฆาต ยังนี้ไม่เรียกว่าบำเพ็ญบุญ


จะขอยกกลอนของท่าน พระครูวิมลปรีชามาให้อ่าน

อันบุญทานการให้อุ่นใจหนา
ชื่นอุรา ผาสุกทุกสถาน
อันการให้ไม่ทุกข์สุขสำราญ
ใจชื่นบานผ่องผุดดุจพุทธองค์
ขอเชิญชวนมวลมนุษย์ชาวพุทธเอ๋ย
อย่าละเลยทำดีที่ประสงค์
ตามรอยยุคลบาทบริสุทธิ์ของพุทธองค์
แล้วถือธงยอดธรรมสร้างกรรมดี
จะเจริญเพลินสุขทุกสถาน
ทั้งการงานก้าวหน้าพาสุขี
ทำสิ่งใดได้ชมสมฤดี
ชื่นชีวีเพราะมีบุญค้ำจุนเอย

๒.การถือศีล เพื่อชำระจิตให้สะอาดไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ปราศจากความโกรธ หรือคิดประทุษร้าย คิดทำลาย และเบียดเบียน หากใครมีสิ่งเหล่านี้ ในนิสัยความประพฤติแสดงว่าเป็นผู้ไม่มีศีล คนมีศีลจะมีใจเมตตา ปรารถนาดีต่อกันและให้อภัย ไม่มีเวรภัยต่อกัน

๓.การบำเพ็ญภาวนา ปฎิบัติธรรมทำสมาธิ ทำให้จิตคลายความหลง เห็นผิดเป็นชอบ รอบรู้ฉลาด และรู้จริง สร้างสติ ให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้อะไรเป็นอะไร









รวมแล้ว คือ การให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญภาวนา ใครมีครบ มีประจำ สม่ำเสมอ คือ ผู้มีบุญ ทำองได้เอง และได้แน่นอน ไม่มีจริง ปลอม


การได้บุญก็เท่ากับได้ทุกสิ่งทุกอย่าง มีบุญเท่ากับมีทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะทุกอย่างสำเร็จด้วยอำนาจแห่งบุญ บุญมีอำนาจสูงสุด และเป็นขุมทรัพย์ อันประเสริฐสุด

ขออนุโมทนากับผู้บำเพ็ญบุญทุกท่าน.....สาธุ

ท่านสามารถอ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ www.sana-anong.com










29/7/54

หลังเสร็จงาน

อ.แอน...ได้กล่าวถึงกุศลผลบุญที่กระทำในวันนี้ให้เด็กๆและผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานทำความสะอาดได้เข้าใจยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมอนุโมทนา.....สาธุ สุดท้ายขอขอบพระคุณ....คุณพี่ไพโรจน์ ที่เป็นเจ้าภาพ อาหารทั้งหมด....





อ.แอน...ได้กล่าวถึงกุศลผลบุญที่กระทำในวันนี้ให้เด็กๆและผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานทำความสะอาดได้เข้าใจยิ่งขึ้น พร้อมทั้งร่วมอนุโมทนา.....สาธุ สุดท้ายขอขอบพระคุณ....คุณพี่ไพโรจน์ ที่เป็นเจ้าภาพ อาหารทั้งหมด....

เมื่อได้เวลาฉันเพล ....เยาวชนรุ่นใหม่รับหน้าที่สืบทอด