อาจารย์แอน แฟนคลับ

อาจารย์แอน แฟนคลับ
พวกเรา คือ ครอบครัว อาจารย์แอน แฟนคลับ

31/7/53

อาจารย์แอน ตอบคำถามธรรม จากหลานศิษย์

เป็นอีกหนึ่งบทความดี ๆ ที่อาจารย์แอน เผยแพร่ให้แก่ลูกศิษย์ของท่าน ทาง e - mail ที่ใช้ติดต่อกันระหว่างลูกศิษย์

อาจารย์แอน ตอบคำถามหลานศิษย์

อาจารย์แอนคะ
หนูเคยเห็นในทีวีคนที่นั่งสมาธิแล้วระลึกชาติได้ บางคนมีกายทิพย์ อย่างในละครเพื่อนของนางเอกนั่งสมาธิเพื่อเข้าไปช่วยนางเอกที่ท่านขุนเอาวิญญาณไปขัง พอเขานั่งสมาธิก็ไปโผล่ที่ ๆ มืด ๆ แล้วเดินหานางเอกจนพบ มีอีกฉากที่พี่ชายของนางเอกขอให้คน ๆ นี้หาที่ซ่อนของท่านขุน
เขาก็นั่งสมาธิแล้วก็ไปโผล่ที่บ้านของนางเอก พอหาพบก็กลับมา เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ใช้ไหมคะ ถ้าเรานั่งสมาธิถึงนะคะ มีคนเคยบอกว่า เวลามีคนนั่งสมาธิแล้วมีกายทิพย์หรือฌานทิพย์ออกมา ห้ามผลักกายเนื้อของเขาให้ล้มลงจากที่นั่งเพราะเขาจะตาย ยังมีคนบอกอีกว่าเมื่อนั่งสมาธิจนมีกายทิพย์ ระหว่างกายเนื้อกับกายทิพย์จะมีเส้นบาง ๆ เชื่อมกันอยู่ถ้ามันขาดก็จะตายจริงไหมคะ ช่วงนี้หนูก็ลองหัดนั่งสมาธิอยู่เผื่อว่าจะทำได้บ้าง อ้อลืมไปหนูเคยได้ยินว่าบางคนนั่งจนบ้าไปเลยก็มีใช่ไหมคะ

สุดท้ายนี้อยากให้อาจารย์แอนช่วยชี้แนะในการนั่งสมาธิให้หน่อยคะ

อาจารย์แอน ตอบ...การฝึกนั่งสมาธิ ต้องตัดเรื่อง หนัง เรื่องราวที่คนเขาว่า ออกไปให้หมด คือ จิตของเราต้องปลอด ว่าง ด้วย ไม่มีความฉันทาคติ สร้างเรื่องที่ชอบไว้ในใจ ไม่มีอคติ จิตโกรธเคือง พยายามเพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่มีความลังเลสงสัยในการนั่งสมาธิ จิตไม่ฟุ้งไปตามเรื่องที่ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่อึดอัดอิ่มง่วง

ถ้าจิตเราปลอดภัยจริง ๆ จากเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่อะไรมากระทบ จิตเราก็นิ่ง ว่างพอที่จะนั่งสมาธิแล้ว อย่าสนใจเรื่องกายหยาบ กายทิพย์ อะไรทั้งสิ้น สมาธิที่แท้จริง จะทำให้เราตั้งมั่น แน่วแน่ คือ เชื่อมั่นในตัวเอง ไม่วอกแวกหวั่นไหว จึงเรียกว่า สมาธิที่ใช้งานได้ คือ ทำให้เราเข็มแข็งไม่หวั่นไหวต่ออะไร ทั้งตั้งใจจะทำอะไรก็เป็นไปตามที่ตั้งใจไว้ การวัดความละเอียด วัดที่ลมหายใจที่เราจดจ่อเพียงหนึ่งเดียว ไม่ใช่วัดที่ "เห็น" ลมหายใจของเรายิ่งละเอียดเท่าไร สมาธิของเราก็ก้าวสู่ความละเอียด แจ่มใสเท่านั้น

การฝึกแบบถอดกายนั้นเลยคำว่าสมาธิ อย่าไปข้ามขั้นตอน เราต้องมีสมาธิที่เข็มแข็ง มีจิตสะอาดเบาบาง จึงเริ่มฝึกกสิณ อันเป็นแนวทางที่จะได้ญาณอันเป็นเครื่องหยั่งรู้ ที่คนทั่วไปเรียกว่ามีฤทธิ์ ขั้นตอนนี้ต้องมีครู ทั้งหมดนี้หาอ่านได้ในหนังสือ กสิณ ๔๐ ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ

อย่าเพิ่งไปคิดไกลถึง ถอด ไม่ถอด ใครมาผลักไม่ผลัก ฝึกสมาธิให้เข็มแข็ง จิตแกร่ง ใครก็ผลักหรือมายุ่งไม่ได้ จิตเข็มแข็งแน่วแน่กับลมหายใจได้ถึงขนาดนี้ จะเป็นบ้าได้อย่างไร นอกจากจะบ้าก่อนฝึก อันนี้ก็ฝึกไม่ได้อีก พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้

นั่งตัวตรง ตั้งจิตให้มั่น ตั้งใจไม่วอกแวก จับลมหายใจเข้าออก ใช้คำภาวนาว่า พุทโธ คือ แนวทางที่พระพุทธองค์ทรงสอนค่ะ

พยากรณ์รายวัน โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี (อ.แอน)

พยากรณ์วันอาทิตย์ที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๓
โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)

สัปดาห์ที่ผ่านมา ดูเผิน ๆ ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่เกี่ยวกับตัวเรามากนัก ชีวิตเหมือนเดินไปเรื่อยๆ แต่ถ้ามองย้อน เหมือนมีการเปลี่ยนแปลงอยู่รอบ ๆ ตัวเรา และพลอยทำให้เราค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปด้วย

วิถีการโคจรของดวงดาวคลี่คลายกระจายออกจากกัน เหมือนมาจับคู่กันใหม่ ดาว ๑ ก็พ้นจากฆาฏ ๑ ๔ ๗ ๑๐ จากกระแสดาวบาปเคราะห์ที่เบียนกันอย่างรุนแรง ก็มีผลแค่เปลี่ยนแปลง การเดินทางไกลจากบ้าน การเปลี่ยนแปลงความคิด และเมื่อดาว ๑ เคลื่อนย้ายโคจรเข้าสู่ราศีกรกฏ มีคุณภาพเป็นมหาจักร ในภพพันธุของดวงเมือง ก่อให้เกิดความเชื่อมั่นที่จะฟันฝ่าอุปสรรคไปให้ถึงจุดหมายปลายทาง

ดาว ๔ และ ๖ ก็เข้าคู่กันในราศีธาตุไฟ ทั้งเป็นลักษณะ ๔ เพ็ญ และ ๖ เพ็ญ ซึ่งทำให้เกิดความหนักแน่น หรือ อ่อนนอกแข็งใน สอดคล้องกับความเป็นมหาจักรของดาวอาทิตย์อีก

ดาว ๓ เข้าคู่กับดาว ๗ เป็นพระเคราะห์คู่รุนแรงในอารมณ์ สถิตอยู่ราศีกันย์ ภูมิปาโล ทำให้เกิดอารมณ์แข็งแกร่งอีกคู่ ก็ยังแสดงถึงความเข็มแข็ง และแกร่งจนกระด้าง พร้อมแตกหัก

ยังมี ดาว ๓๗ และ ๕๐ เล็งกันระยะ ๑๘๐ องศา ทั้งขัดแย้ง ไม่ยอม เป็นพระเคราะห์ที่เรียกว่า คู่พระคู่โจร ที่ขัดแย้ง ดื้อดึงจนสุดขั้ว เป็นดาวแห่งทิฐิที่แข็งแกร่ง

เราพอมองเห็นไหมว่า ความแข็งแกร่งของดวงดาวที่มีจนล้นชาตานี่แหละทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง นับตั้งแต่ธรรมชาติสภาพแวดล้อม จนถึงสัตว์เลี้ยง เด็ก คนชรา ชาตายิ่งอ่อนก็เข้ากระแสการโคจรของดวงดาว แต่ถ้าเราสังเกตตัวเองเราจะมองเห็นว่า เราและรอบ ๆ ตัวเรานี่แหละเปลี่ยนแปลง

รูปแบบ กฎเกณฑ์ของบริษัท นโยบาย การขาย การตลาด ฝ่ายบุคคล บัญชี ต่างได้รับผลกระทบจากการโคจรของดวงดาวที่มีลักษณะแข็งแกร่ง สามารถแปลได้ว่ามีความเข็มงวดเกิดขึ้นในองค์กร จนเกิดการวิ่งเปรี้ยวอีกครั้ง คือการเปลี่ยนงาน เปลี่ยนที่อยู่ เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนลักษณะงาน หาที่ที่เหมาะสมกับตน

นิสัย อารมณ์ก็แรงขึ้น รักแรง เกลียดแรง มีการตัดสินใจที่อาจมาจากอารมณ์ ทั้งอคติ ฉันทาคติ ภยาคติ และโทสะคติ จึงสามารถเกิดความผิดพลาดได้อย่างไม่น่าเชื่อ

ความแตกแยกสับเปลี่ยนหุ้นส่วน คนรัก คนสนิท มีเรื่องน้ำท่วมปากพูดไม่ออกบอกไม่ถูก

สุขภาพ ก็ประเภทเคล็ดมาเป็นอันดับหนึ่ง บ้างก็ต้องเข้าโรงพยาบาล ทั้งหวัด และท้องเสีย เรียกว่าแม้แต่ร่างกายก็ตีกัน คือการเจ็บป่วย

การค้า มีการแข่งขันกันมาก จนต้องหากลยุทธ์ใหม่ ๆ สัปดาห์ที่ผ่านมายังได้เสมอตัว กับพุ่งแรงตามดาว

การเงินได้มากก็ใช้มาก บางสถานการณ์ก็ถูกเลื่อน นัดหมายไม่ตรง การร้องขอเจรจาต้องมีเงื่อนไขที่มากมายและแข็งตามดาว

วันนี้เป็นวันที่ต้องทบทวนว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรที่ตรงกับเราบ้าง ความแข็งแกร่งของดวงดาวมีผลด้านใดกับตัวเรา เพื่อจะรับงานหนัก และผลที่ตามมาในสัปดาห์ต่อไป

ด้านเศรษฐกิจของไทยเราก็เหมือนการโคจรของดวงดาว ดี แข็งแกร่ง แต่ก็ต้องระวังอย่าประมาท กลยุทธ์ต่าง ๆ ใช้ยากขึ้น การส่งออก การลงทุนต่างถิ่นต่างแดนได้รับการสนับสนุน

วันนี้ดาว ๖ ย้าย โคจรใกล้ดาว ๗ หงส์ลงโคลน มีเรื่องต้องเสียใจ เหน็ดเหนื่อย และหงุดหงิดบ้าง มาเรียนไพ่ทาโร่ต์แล้วไปแก้ไขให้ตัวเอง จะได้ไม่ต้องยุ่งกับใคร อะไรที่ไม่ได้ดังใจก็ต้องอดทนไว้สมหวังในวันหน้า ดาว ๖ เข้ามาเป็นนิจ แม้จะอยู่ในตำแหน่งเพ็ญ ก็จะได้กินของอร่อย และทะเลาะกับแฟนในเวลาเดียวกัน ไม่ต้องกลัว ใจเย็นแล้วก็ดีกัน ใครยังไม่มีแฟน ก็ได้ทะเลาะกับ พ่อ หรือไม่ก็แม่ คนใดคนหนึ่ง ต้องมีทะเลาะกันบ้าง ไปทะเลาะกับอาจารย์เรื่องไพ่ทาโร่ต์ดีกว่า พบกันในห้องเรียนนะคะ

คติวันนี้ อย่าคิดมาก
(ขอบคุณคณะศิษย์อาจารย์แอน สำหรับ e-mail พยากรณ์รายวัน)

สร้างบ้านสร้างสุข ดูทำเล1

รายการนิทานชาดก

จากการแนะนำของคุณhui251 เช้าวันเสาร์ที่๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๓ ได้ชมรายการนิทานชาดก ตอนมโหสถ ตอนที่๑๑ เริ่มแรกเป็นการเล่าเรื่อง จากนั้นเป็นการถามตอบปัญหาที่สงสัย ชอบมากเลยเพราะคำถามมีประโยชน์ เหมือนกับรู้ใจว่าผู้ชมอยากจะถามหรือสงสัยในเรื่องอะไรบ้าง อย่างวันนี้ ได้ข้อคิดที่ว่า มักมีคนถามว่าพญานาคมีจริงหรือ
อ.แอนท่านตอบว่า มีแล้วเป็นอย่างไง ไม่มีแล้วเป็นอย่างไง รู้แล้วก็ไม่ใช่ทางหลุดพ้น
หรือใบไม้ในกำมือกับใบไม้ในป่า เราจะหยิบอะไรขึ้นมา
ฝนที่โปรยปราย เข้าใจแล้วคะว่าคนเรามักคิดในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์หรือมัวแต่ชมนกชมวิวแวะข้างทาง เสียเวลาเปล่าๆ ไม่เดินตามทางสายเอก ที่พระพุทธองค์ทรงเป็นผู้บอกทางลัดตัดตรง
สาธุสาธุอนุโมทนากับผู้ผลิตรายการและโดยเฉพาะ วิทยากรที่ให้ความรู้ให้เข้าใจง่ายธรรมะไม่ใช่ดูได้เฉพาะผู้สูงอายุ แต่ทุกวัยดูได้ดูดี โดยเฉพาะ ท่านอาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี

ตอบคำถามได้ชัดเจนเข้าใจง่าย ขอบพระคุณมากคะ

30/7/53

พยากรณ์รายวัน โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี(อ.แอน)

พยากรณ์วันเสาร์ที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๓
โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี (อาจารย์แอน)


ในที่สุดวันสิ้นเดือนก็มาถึงผ่านไปอีกหนึ่งเดือน เดี๋ยวเดียวก็สิ้นปี เข้าทำนองต้นร้ายปลายดี ยกเว้นธรรมชาติที่แปรปรวนหน่อย กับแผ่นดินไหวที่ปีนี้น่าจะเป็นปีแห่งแผ่นดินไหวแข่งกับสุริยคราส จันทรคราส ดินฟ้าแสนจะวิปริตอาเพศ ต่างประเทศก็มีคนร้อนตาย พอ ๆ กับประเทศศูนย์สูตรที่มีคนหนาวตาย

อย่างไรก็ตามวันเสาร์นี้ก็เป็นวันเสาร์ที่รถติด อยู่บ้านให้มาก ออกตอนเช้ากลับตอนบ่าย รถจะบรรเทา เพราะช่วงบ่าย เย็น ค่ำ นั่นแหละ ที่ทุกคนจะมาประชุมกันบนท้องถนน ไม่มีในพยากรณ์จากดวงดาวหรอก ดูแค่วันที่กับวันหยุดก็บอกได้

วันนี้ จันทร์ ครุ สุริยา นะ ดาว ๑๒๕ องศาถึงกันหมด แม้ดาว ๕ จะพักร์ แถมทับดาว ๒ เป็นศูนย์ ก็ยังคุ้มภัย และมีผลในการทำงานสาธารณะประโยชน์ หรืออีกนัยหนึ่งเหนื่อยมาก กว่าจะได้ทำให้ได้ผล แต่เป็นวันคุ้มภัย ทำอะไรก็ยังไม่มีร้ายแรง

ดาว ๓ เล็งดาว ๐ ระยะ ๑๘๐ ระวังความอาฆาตพยาบาทจะนำภัยมาสู่ ต้องระวังเรื่องอุบัติเหตุ อย่าดื้อรั้นในทางที่ผิด อย่าเกิดโทสะทำให้ขาดความยั้งคิด สามารถทำให้ตนเองเกิดความหายนะได้ ดังนั้น ดาว ๓ ก็เล็งดาว ๒ ด้วย ซึ่งมีความหมายในลักษณะเสื่อมเสียชื่อเสียง และต้องระวังสุขภาพ และช่วงนี้ก็ต้องตรวจสายตา

ระยะนี้ฝนตกชุก ดาวคู่ธาตุน้ำ เล็งดาวเนปจูน คือ ๔๖ และเนปจูน ซึ่งอยู่ในราศีธาตุลม ประกอบกับ ดาว ๓๗ ทับกัน จึงมีลักษณะ ฝนฟ้าคะนอง และขณะเดียวกันก็ฝนแล้งในบางแห่ง เพราะลักษณะ ดาว ๓ และ ๗ จะมีลักษณะอัตคัด ขาดแคลน และขรุขระ ถ้าแปลกับดินฟ้าอากาศ ก็คือ ร้อนแล้ง ถ้าแปลกับความสำพันธ์กับบุคคล ก็แตกหักได้ การที่ดาว ๓ และ ๗ ร่วมราศี จึงเป็นเรื่องเดือดร้อนมากกว่าเรื่องดี และยังเล็งดาว ๐ จึงไม่ควรประมาทในผลร้ายที่จะเกิดขึ้น

วันโลกาวินาสน์ ประกอบกับเสาร์สิ้นเดือน ไปไหนมาไหนวางแผนเส้นทางให้ดี ติดยิ่งกว่าวันธรรมดา เตรียมตัวมาเรียนไพ่ทาโร่ต์ประเทืองอารมณ์ดีกว่า เช้าวันอาทิตย์พบกันอย่ามาสาย จะหาที่นั่งไม่เจอ

คติวันนี้ ยังคงเหมือนเมื่อวันวาน

(ขอบคุณบทความส่งทางอิเลคทรอนิคเมลล์ คุณpuka)

วัดภูเขาทองภาคสาม

ย้อนไปเมื่อวันที่ 17ธันวาคม 2543

เกือบ 10ปีที่ท่านอาจารย์แอนได้พาลูกศิษย์ไปทำความสะอาดที่วัดภูเขาทอง จ.อยุธยา แล้วนั้น ยังได้ถวายพระพุทธรูปปางนาคปรก ปลูกต้นไม้โดยรอบ ติดตั้งระบบน้ำประปา ติดกระดิ่งรอบพระอุโบสถ แม้เวลาจะผ่านไปนานแต่ทุกคนยังจำได้ไม่ลืม เพราะจากจุดเริ่มต้นที่วัดภูเขาทอง ท่านอาจารย์แอนก็ยังเป็นผู้นำเหล่าลูกศิษย์ ไปทำความสะอาดที่วัดสระบัว ตามด้วยวัดมหาธาตุ จ.เพชรบุรี ฯ

และที่วัดมหาธาตุนี้เองที่นอกจากพวกเราจะทำความสะอาดแล้วยังได้เป็นเจ้าภาพถวายอาหารเพล

พระสงฆ์ทั้งวัด ท่านเจ้าอาวาสมีเมตตาให้คณะของอาจารย์แอนได้ขึ้นไป กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ (ซึ่งปรกติจะเปิดให้ประชาชนเข้ากราบนมัสการได้ปีละครั้ง ) เป็นกรณีพิเศษ

ยังความปิติเป็นที่สุดที่กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

วัดภูเขาทอง ภาคสอง

หลังจากได้ไปร่วมทำความสะอาดที่วัดภูเขาทองกับท่าน อ.แอน แล้วนั้น
พอช่วงเข้าพรรษาในปีนั้นก็ได้กลับไปที่วัดภูเขาทองอีกครั้ง
ได้นำข้าวสารอาหารแห้งไปถวาย และขออนุญาตท่านเจ้าอาวาส ไปทำความสะอาดห้องสุขาของวัด ท่านถามทันทีว่าลูกศิษย์ อ.แอน หรือเปล่า
ก็ตอบว่าใช่เจ้าคะ มีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านตอบว่า ลูกศิษย์ อ.แอน มาขอทำความสะอาดห้องสุขา เสมอ ๆ

หลังจากนั้นก็ไปทำความสะอาดห้องสุขา เอ .....ทำไมห้องน้ำไม่เหม็นละ สะอาดด้วย .....พูดไปก็ทำไป......
ลูกที่ไปด้วยถามว่า แม่ๆๆๆทำไมอยู่บ้านไม่เคยเห็นแม่ทำละ เห็นแต่มาวัดทีไร แม่มาล้างห้องน้ำทุกที.........
แม่ตอบว่า ก็ที่บ้านมีแม่บ้านทำอยู่แล้ว แต่ที่วัดไม่มีถ้าเรามาทำความสะอาดก็จะได้บุญกุศล ได้อานิสงส์คนที่มาเข้าห้องสุขาจะได้มีความสุข

เมื่อกลับมาก็ได้โทร.ไปคุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่าได้ไปวัดภูเขาทองมาวันนั้นวันนี้ เพื่อนถามเวลาก็บอกว่าเวลาเท่าไร
ได้คำตอบว่า ฉันก็ไปวันนั้นและได้ล้างห้องน้ำซะสะอาดเอี่ยมอ่อง จ๊ะ

จุดใต้ตำตอ เจอคนทำความสะอาดก่อนเรานี้เอง

hui251


ขอขอบคุณ คุณ hui251 ที่เอื้อเฟื้อเรื่องราวแห่งวันวาน ทำให้เราทราบว่า ไม่ว่าวัน เวลา จะหมุนเวียน เปลี่ยนไปแค่ไหน "เรา" ลูกศิษย์ของ อาจารย์แอน ยังคงเหมือนเดิมจากที่เคยได้รับการอบรมสอนสั่งเกี่ยวกับการทำบุญ และกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ พวกเราคงปฏิบัติอยู่จนถึงทุกวันนี้

และสิ่งหนึ่งที่เราภุมิใจเหลือเกิน จากปี พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นต้นมา ที่พวกเราบ่นเสมอกับการนุ่งซิ่นไปทำบุญ จวบจนวันนี้ วัดที่เราเคยไป และวัดใหม่ ๆ ที่เพิ่งไปมา พวกเรานุ่งซิ่นสวยงาม งดงามแก่ผู้พบเห็น วันนี้...ผู้มาร่วมงานต่างก็ล้วนแต่นุ่งซิ่นสวยงาม ตามอย่างพวกเรา ดีใจจริง ๆ เลย

29/7/53

ทำความสะอาดวัดสระบัว เพชรบุรี

เมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๒ อาจารย์แอน หรือ อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี ได้นำคณะศิษย์ จำนวนกว่าร้อยคน ไปร่วมกันทำความสะอาดที่ วัดสระบัว จังหวัดเพชรบุรี แม้ว่าจะผ่านมานานแล้วแต่วันนี้ขออนุญาตนำภาพความประทับใจมาลงกันให้ดูอีกครั้ง

http://www.oknation.net/blog/krupia/2009/05/03/entry-1

ขอบคุณ อาจารย์ษณอนงค์ และกลุ่มทานาทิธรรม ที่สร้างสรรค์วัฒนธรรมอันดีงามอย่างไทยพุทธ ให้สืบสานต่อชั่วรุ่นลูกหลาน ขอคารวะ

28/7/53

ฉลองอุปสมบทพระใหม่ วัดเขาตะเครา เพชรบุรี วันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๓





สร้างบ้านสร้างสุข ดวงไทยดวงจีน1

รายการสร้างบ้านสร้างสุข ตอน โหงวเฮ้ง1 ทาง true Vision 8 (TNN) โดย อาจารย์ษณอนงค์ คำแสนหวี
http://www.youtube.com/watch?v=KbBerJ83mqE
หริตจชาดก
เป็นเรื่องราวของสมเด็จพระบรมศาสดาครั้งเสวยพระชาติเป็นดาบสผู้ได้อภิญญาและหลงอยู่ในกามฉันทะทำให้เสื่อมจากฌาน จากเรื่องราวในชาดกตอนนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจมากขึ้นในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่ต้องผ่านและเข้าถึงอารมณ์ต่างๆ เพื่อจะได้นำมาสอนและโปรดสัตว์ทั้งหลายให้พ้นภัยจากกามกิเลสนี้ ดังเรื่องราวที่ปรากฏดังนี้

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์ผู้มีสมบัติแปดสิบโกฏิในนิคมแห่งหนึ่ง มารดาบิดาได้ขนานนามให้พระองค์ว่า หริตจกุมาร เพราะพระองค์มีผิวเหลืองดังทอง

สังเกตได้ว่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะมีความพิเศษต่างๆกันในแต่ละชาติ เช่น ผิวพรรณเหลืองดังทองทา เพราะการถือศีลบำเพ็ญพรต บางชาติมีความสามารถพิเศษ เพราะอำนาจแห่งการบำเพ็ญในด้านความเพียร บางชาติมีพละกำลังมหาศาล เพราะฝึกฝนสมาธิจิตถึงขั้นสมาบัติ เป็นต้น

ครั้นกุมารนั้นเจริญวัยแล้ว สำเร็จการศึกษาที่เมืองตักศิลา รวบรวมทรัพย์ไว้ ครั้นมารดาบิดาล่วงลับไปแล้ว ได้ตรวจตราดูทรัพย์สมบัติได้ความคิดขึ้นว่า ทรัพย์เท่านั้นที่ยังปรากฏอยู่ ส่วนผู้ที่ทำให้ทรัพย์เกิดขึ้นหาปรากฏอยู่ไม่ (หมายถึงมารดา บิดา) แม้เราก็ต้องแหลกละเอียดไปในปากแห่งความตาย ดังนี้คือกลัวต่อมรณภัย จึงคิดให้ทานเป็นการใหญ่ แล้วเข้าไปยังหิมวันตประเทศบวชเป็นฤาษี

ในชาดกทุกเรื่องจะเห็นได้ว่า พระโพธิสัตว์จะมีอุปนิสัยที่หันเข้าหาการบวชเป็นปกติ ทั้งนี้อยู่ที่ใจจดจ่อเป็นสัญญาในทุกภพที่จะแสวงหาความสงบ และการบำเพ็ญถือเพศพรหมจรรย์ ดังนั้น ด้วยความใฝ่ในธรรมที่มีมาทุกๆชาติ การปฏิบัติจึงมีผลเร็ว ในวันที่เจ็ดก็ได้บรรลุฌาน ได้อภิญญาห้าและสมาบัติแปด และยังชีพด้วยเผือกมันแลผลไม้ในป่าเป็นอาหาร

พระดาบสดำรงชีพอยู่ที่นั้นเป็นเวลานาน ต่อมาก็มีความรู้สึกอยากเสพอาหารที่มีรสเค็มรสเปรี้ยว สรุปแล้วคือการเปลี่ยนรสชาติอาหารให้เพิ่มรสไปจากความจำเจ เพราะธรรมดาเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต้องมีเหตุที่จะทำให้เกิดเรื่องราวที่ต้องละขาด หรือเรียนรู้เพื่อตัดขาดให้ได้นั่นเอง ดังนั้นท่านจึงลงจากบรรพต เดินทางโดยลำดับถึงพระนครพาราณสี เข้าไปอาศัยยังอุทยานหลวง เพราะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด เนื่องจากพระราชาแห่งกรุงพาราณสีทุกพระองค์ จะต้องบำรุงเหล่าพระดาบส ฤาษี หรือผู้บำเพ็ญเพียรเสมอ

ฝ่ายพระราชาทอดพระเนตรเห็นพระดาบสนั้นมีพระทัยเลื่อมใส รับสั่งให้นิมนต์นั่งบนราชบัลลังก์ภายใต้เศวตฉัตร ให้ฉันโภชนะที่มีรสอันเลิศต่างๆ
ความตอนนี้เป็นที่น่าสังเกตุว่า ผู้แสดงธรรมควรได้รับความเคารพอย่างยิ่ง นับแต่โบราณเพราะแม้แต่พระมหากษัตริย์ เมื่อจะฟังธรรม ต้องนิมนต์พระดาบสนั่งบนราชบัลลังก์ เป็นการให้ความเคารพธรรมนั้นอย่างสูงสุด

เมื่อดาบสฉันแล้วอนุโมทนาจบลง พระองค์ยิ่งทรงเลื่อมใสมากขึ้น ตรัสถามว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จไป ณ ที่ใด” เมื่อพระดาบสถวายพระพรว่า “อาตมาภาพเที่ยวหาที่จำพรรษา มหาบพิตร” พระราชามีพระทัยยินดี จึงทรงพาพระดาบสไปที่พระราชอุทยาน รับสั่งให้สร้างที่เป็นที่พักกลางคืนและเป็นที่พักกลางวันเป็นต้นถวายพระดาบส ให้คนรักษาพระราชอุทยานเป็นผู้คอยปฏิบัติ จากนั้นทรงอภิวาทแล้วเสด็จกลับ จากนั้นมาพระมหากษัตริย์ ได้นิมนต์พระดาบสมาฉันที่พระราชมณเฑียรเป็นนิตย์อยู่ตลอดเป็นระยะเวลาถึงสิบสองปี

อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาจะเสด็จไปปราบประเทศชายแดนที่ก่อความไม่สงบขึ้น ทรงมอบหมายพระดาบสโพธิสัตว์ไว้แก่พระราชเทวีว่า “เธออย่าลืมกระทำกิจ อันเป็นเนื้อนาบุญของเราเป็นอันขาด” แล้วก็เสด็จไป นับแต่นั้นมาพระราชเทวีได้ทรงอังคาสพระโพธิสัตว์ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของเหล่าบริพาร

ครั้นวันหนึ่งหลังจากที่พระนางทรงเตรียมโภชนะอาหารไว้เรียบร้อยแล้ว พระดาบสยังไม่มา พระนางจึงลงสรงสนานด้วยน้ำหอม แล้วทรงนุ่งพระภูษาเลี่ยนเนื้อละเอียด แล้วรับสั่งให้เผยสีหบัญชร ประทับบนเตียงน้อยให้ลมพัดต้องพระวรกายอยู่ ขณะนั้นเองพระดาบสโพธิสัตว์ก็นุ่งหมเรียบร้อยแล้วถือภาชนะสำหรับใส่ภิกษาอาหาร เหาะมาถึงสีหบัญชร พระราชเทวีได้ทรงสดับเสียงผ้าสบัดในอากาศ ก็เสด็จลุกขึ้นโดยเร็ว พระภูษาก็เลื่อนหลุดหล่นลง อารมณ์ของความกำหนัดยินดี ทั้งกิเลสที่หมักดองอยู่ภายในจิตหลายแสนโกฏิปี ประหนึ่งอสรพิษที่นอนขดอยู่ในข้อง ก็เกิดกำเริบขึ้นกับพระโพธิสัตว์ในวินาทีนั้น ทำให้ฌานนั้นเสื่อมลง พระโพธิสัตว์ไม่อาจดำรงสติไว้ได้จึงเข้าไปจับพระหัตถ์พระราชเทวี แล้วทั้งสองก็รูดม่านลงกั้นในทันใดนั้น เสพโลกธรรมด้วยกัน ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็ฉันภัตตาหาร แล้วเดินไปพระราชอุทยาน ตั้งแต่นั้นมา ก็ได้ทำเช่นนั้นทุกๆวัน

กิเลสนี้ช่างน่ากลัวนัก การปฏิบัติอย่างเคร่งครัดมานานแสนนาน ทั้งมีจริยาน่าเลื่อมใสอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาถึงสิบสองปีได้เสื่อมลง ทั้งนี้ พระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญบารมี เรียนรู้อารมณ์ที่น่ากลัวนี้เพื่อรู้วิธีที่จะละวางได้เด็ดขาด

ข่าวการที่พระโพธิสัตว์เสพโลกธรรมกับพระราชเทวีได้แพร่สพัดไปทั่วพระนคร พวกอำมาตย์ได้ส่งหนังสือไปกราบทูลพระราชาว่า หริตจดาบสได้ละเมิดจารีตไปเสียแล้ว แต่พระราชายังมิทรงเชื่อ โดยทรงพระดำริว่า พวกอำมาตย์ประสงค์จะทำลายเรา จึงได้กล่าวให้เราเสียสติดังนี้ ครั้นทรงปราบประเทศชายแดนให้สงบลงแล้วก็เสด็จกลับพระนครพาราณสี ทรงทำปทักษิณพระนครแล้วเสด็จไปสำนักพระราชเทวีมีพระดำรัสถามว่า “เราได้ข่าวว่าหริตจดาบส พระผู้เป็นเจ้าของเราเสพโลกธรรมกับเธอ เป็นความจริงหรือ” พระราชเทวีตอบว่า “จริงเพคะ” พระราชายังไม่ทรงเชื่อแม้พระราชเทวี ทรงดำริว่าจักถามพระดาบสนั้นเอง จึงเสด็จไปพระราชอุทยาน นมัสการแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรด้วยความเคารพ แล้วตรัสถามว่า “ข้าแต่มหาพรหม โยมได้ยินว่าพระหริตจดาบสบริโภคกาม คำเช่นนี้เป็นการใส่ร้าย คงไม่เป็นความจริงกระมัง ท่านยังเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่หรือ”

พระดาบสโพธิสัตว์คิดว่า เมื่อเราทูลว่าเรามิได้บริโภคกาม พระราชานี้ก็จักทรงเชื่อเราเท่านั้น แต่ว่าในโลกนี้ ขึ้นชื่อว่าที่พึ่งที่มั่นคงเท่ากับความสัตย์เป็นอันไม่มี เพราะผู้ที่ทิ้งความสัตย์เสียแล้ว ย่อมไม่สามารถจะนั่งที่โพธิบัลลังก์บรรลุพระโพธิญาณได้ เราควรกล่าวแต่คำสัตย์เท่านั้น จริงอยู่ปาณาติบาตก็ดี อทินนาทานก็ดี กาเมสุมิจฉาจารก็ดี สุราบานก็ดี ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ได้บ้างในฐานะบางอย่าง แต่มุสาวาทที่มุ่งกล่าวให้คลาดเคลื่อนหักประโยชน์เสีย ย่อมไม่มีแก่พระโพธิสัตว์เลย คิดดังนี้แล้ว พระโพธิสัตว์ จึงกล่าวรับเป็นสัตย์ว่า “ขอถวายพระพรมหาบพิตร พระองค์ได้ทรงสดับถ้อยคำมาแล้วอย่างใด ถ้อยคำนั้นก็เป็นจริงอย่างนั้น อาตมาภาพหมกหมุ่นในอารมณ์เป็นที่ตั้งแห่งความหลงเดินทางผิด”

พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น มีพระประสงค์จะช่วยให้พระดาบสได้ดำรงอยู่ในพรหมจรรย์ต่อไป จึงตรัสว่า
“ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ธรรมดาเภสัชย่อมเป็นที่พึ่งของคนไข้ น้ำดื่มเป็นที่พึ่งของคนกระหายน้ำ ปัญญาที่ละเอียดคิดสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเครื่องบรรเทาราคะที่เกิดขึ้นแล้ว และปัญญาของท่านมีไว้เพื่อประโยชน์อะไร เหตุไรท่านไม่อาจใช้ปัญญานั้นบันเทาความคิดที่แปลกไปจากเพศที่ดำรงอยู่ได้เล่า”

พระดาบสตอบว่า “ข้าแต่มหาบพิตร กิเลสสี่อย่างเหล่านี้ คือ ราคะ โทสะ มทะ โมหะ เป็นของมีกำลังกล้า หยาบคายในโลก เมื่อกิเลสรัดรึงแล้วปัญญาก็หยั่งไม่ถึง คือผู้นั้นเป็นเหมือนคนตกลงไปในห้วงน้ำใหญ่ ย่อมไม่ได้ปัญญาเป็นที่พึ่ง”

พระราชาได้ทรงสดับดังนั้น จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าได้ยกย่องท่านอย่างนี้ว่า หริตจดาบสเป็นพระอรหันต์มีศีลบริสุทธิ์ ประพฤติพรหมจรรย์ เป็นบัณฑิตมีปัญญาแท้ เป็นอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ท่านจงมีความเพียรในการใช้ปัญญาประหารกิเลสอันเป็นเครื่องผูกมัดนั้นเถิด”

หริตจดาบสตอบว่า “ข้าแต่มหาบสพิตร ความตรึกที่ไม่สะอาด เป็นไปด้วยการยึดถืออารมณ์ว่างาม ประกอบด้วยความกำหนัด ย่อมเบียดเบียนแม้ผู้มีปัญญา หรือผู้ยินดีแล้วในคุณธรรมของฤาษี”

พระราชามีความเพียรพยายามที่จะให้หริตจดาบสเกิดความเพียรอุตสาหะขึ้นในจิตเพื่อละกิเลส จึงตรัสขึ้นอีกว่า “ความกำหนัดนี้เกิดขึ้นในกาย ครั้นเกิดขึ้นแล้วเป็นของประทุษร้ายรัศมีกายและคุณความดีของท่าน ท่านจงละความกำหนัดนั้นเสีย ความเจริญย่อมมีแก่ท่าน ท่านก็จะเป็นผู้ที่ชนหมู่มากยกย่องแล้วว่าเป็นบัณฑิต”
ในขณะนั้นเอง พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วกลับได้สติ ด้วยอำนาจแห่งความดีที่บำเพ็ญเพียรมาสามารถกำหนดโทษของกามทั้งหลายได้ทันที

“อาตมาภาพทราบว่ากามเหล่านั้นก่อความมืดมนในจิต ทำให้ปัญญาจักษุถึงความพินาศ มีทุกข์มากเพราะมีความแช่มชื่นน้อยแต่มีพิษใหญ่ เพราะพิษคือกิเลส คือวิบากเป็นของยิ่งใหญ่ อาตมาภาพจะค้นหามูลรากของกามเหล่านั้นด้วยจิตที่ผ่องแผ้วตัดความกำหนัดพร้อมกับเครื่องผูกพันคือนิมิตหมายอันดีงาม ด้วยดาบคือปัญญา”

เมื่อพระดาบสโพธิสัตว์กล่าวดังนี้แล้ว ได้ขอประทานโอกาสว่า “ข้าแต่มหาบพิตร ขอพระองค์จงประทานโอกาสแก่อาตมาภาพก่อน” แล้วเข้าไปยังบรรณศาลาพิจารณาดวงกสิณ ยังฌานที่เสื่อมแล้วให้เกิดขึ้นอีก จากนั้นก็ออกจากบรรณศาลา นั่งบัลลังก์ในอากาศ ถวายธรรมเทศนาแด่พระราชาแล้วทูลว่า
“ข้าแต่มหาบพิตร อาตามภาพถูกติเตียนในท่ามกล่างมหาชน เพราะเหตุที่มาอยู่ในที่ไม่สมควรขอพระองค์จงเป็นผู้ไม่ประมาท บัดนี้อาตมาภาพจักกลับไปสู่ไพรสณฑ์ให้พ้นจากกลิ่นสตรี ”

พระราชามีความโศกเศร้าปริเทวนาอยู่ที่พระฤาษีจะกลับสู่หิมวันต์ประเทศ แต่ก็ปิติยินดีในฌานแห่งฤาษีที่กลับคืนมา จากนั้นฤาษีก็เข้าสู่หิมวันตประเทศ ไม่เสื่อมจากฌานตลอดชีวิต

พระศาสดาตรัสเรื่องนี้ให้พุทธบริษัทสี่เห็นภัยแห่งกามกิเลส ทรงประกาศสัจจะ เวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้กระสันได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผลก่อน แล้วพระทศพลทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ในบัดนี้ หริตจดาบสในครั้งนั้นได้มาเป็นเราตถาคต แลฯ

29 มิถุนายน 2009 in
อ่านนิทานชาดก

ขอบคุณ
http://www.tanatitham.com/
http://www.youtube.com/watch?v=VH8Gybar4-U